ว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลจ้าว
ด้วยตามความในพระราชบัญญัติลักษณปกครองท้องที่
พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒๓ ให้กรมการอำเภอมีน่าที่คอยตรวจตราอุดหนุนผู้ปกปักรักษา
อย่าให้ผู้ใดรุกล้ำเบียดเบียนที่วัดหรือที่กุศลสถานอย่างอื่น
อันเปนของกลางสำหรับมหาชนนั้น บัดนี้ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า
ที่ศาลจ้าวซึ่งเปนสถานที่เคารพและกระทำพิธีกรรมตามลัทธิของประชาชนบางจำพวกในกรุงสยาม
นับว่าเปนที่กุศลสถานสำหรับมหาชนประเภทหนึ่ง ซึ่งสมควรจะวางระเบียบการปกปักรักษาขึ้นไว้ให้เปนหลักถาน
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงนครบาลแลเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ตั้งกฎข้อบังคับขึ้นตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติลักษณปกครองท้องที่ พ.ศ.
๒๔๕๗ ดังต่อไปนี้
ว่าด้วยการใช้กฎและอธิบายคำ
ข้อ ๑ กฎนี้ใช้เฉภาะแต่ศาลจ้าวที่ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเปนเจ้าของหรือเปนผู้ปกปักรักษาเท่านั้น
ข้อ ๒ คำบางคำที่มิได้
มีคำหมายให้เข้าใจเปนอย่างอื่นแล้วให้พึงเข้าใจดังนี้ คือ
ก. คำว่า
ศาลเจ้า นั้น หมายความว่า สถานที่ก่อสร้างขึ้นเปนทรวดทรงสำหรับประดิษฐานรูปเคารพ
และกระทำพิธีกรรมตามลัทธิของคนบางจำพวก เช่นชนจีนเปนต้น
และให้หมายความรวมตลอดถึงสถานที่ถาวร ซึ่งสร้างขึ้นประกอบกับศาลจ้าว
เช่นโรงสำหรับกินแจ เปนต้น
ข. คำว่า
ที่ศาลจ้าว นั้น หมายความถึงที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่และหมายความตลอดเขตร์บริเวณที่ดินของศาลจ้าวด้วย
ค. คำว่า
ใบอนุญาตตั้ง นั้น หมายความว่า
หนังสือที่ผู้มีอำนาจตามกฎนี้ออกให้ไว้แก่ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวหรือผู้ตรวจตราสอดส่องกิจการในศาลจ้าว
ฆ. คำว่า
ผลประโยชน์ นั้น หมายความว่าทรัพย์สมบัติรายได้อันพึงบังเกิดมีแก่ศาลจ้าวนั้นๆ
แลหมายความตลอดถึงรายจ่ายด้วย
ว่าด้วยที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่
ข้อ ๓ ศาลจ้าวที่ตั้งอยู่ในที่ดินเอกชนมีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของนั้นไม่เกี่ยวกับกฎฉบับนี้
เว้นไว้แต่เอกชนผู้มีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของได้อุทิศที่ดินของตนให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาดในขณะใด
ที่ดินนั้นย่อมตกมาอยู่ในความปกครองรักษาของรัฐบาลพึงทำนุบำรุงเพื่อประโยชน์มหาชนตามความในกฎนี้
ข้อ ๔ ที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่ในที่ดินของรัฐบาลก็ดี
หรือในที่ดินของเอกชนแต่ได้อุทิศให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาดแล้วก็ดี
ในเขตร์กรุงเทพมหานครให้มีโฉนดไว้ในนามกรมพระนครบาลหัวเมืองนอกจากเขตร์กรุงเทพมหานครให้มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ในนามกรมปกครองกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น
ข้อ ๕ ผู้ใดมีความปรารถนาจะอุทิศที่ดินของตนที่มีหรือยังไม่มีศาลจ้าวตั้งอยู่แล้วให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาด
ให้ยื่นเรื่องราวสำแดงความปราถนาเปนลายลักษณ์อักษรมอบหมายให้แก่นายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ๆ
ที่ดินตั้งอยู่
ในเรื่องราวที่จะยื่นต้องมีข้อความดังต่อไปนี้
คือ
(ก)
ชื่อและที่อยู่ของผู้ซึ่งจะอุทิศที่ดินให้
(ข) รายการละเอียดของที่ดินซึ่งจะอุทิศให้พร้อมทั้งน่าโฉนดหรือหลักถานสิ่งสำคัญสำหรับที่ดินนั้นกำกับไปด้วย
ข้อ ๖ ที่ศาลจ้าวแห่งใดซึ่งตกอยู่ในความปกครองของรัฐบาลตามกฎนี้
ถ้าผู้ใดจะกระทำการก่อสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงหรือมีความประสงค์จะทำการสฐาปนาต่อเติมขึ้นใหม่ก็ดี
ให้แจ้งความประสงค์เปนลายลักษณ์อักษรต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ๆ ที่ดิน
ตั้งอยู่เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัดสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วจึงกระทำการนั้นได้
ข้อ ๗ ในที่ซึ่งยังมีศาลจ้าวตั้งอยู่ตราบใด
โดยปรกติจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฐานะเปนอย่างอื่น เว้นไว้แต่ศาลจ้าวนั้นจะได้เลิกร้างไปหมดแล้ว
หรือว่ารัฐบาลมีความจำเปนที่จะต้องใช้ประโยชน์ในราชการโดยตรง
ข้อ ๘ ที่ดินที่ยังมีศาลจ้าวตั้งอยู่ณบัดนี้ก็ดี
หรือปรากฎว่าได้เคยมีศาลจ้าวตั้งอยู่ก็ดี
ถ้าแม้พิสูตรไม่ได้ความแน่นอนว่ากรรมสิทธิ์ได้ตกเปนของเอกชน
ก็ให้ลงสันนิษฐานว่าเปนที่ดินสำหรับศาลจ้าวอยู่ในความปกครองของรัฐบาล
ว่าด้วยฐานะของศาลจ้าวและทะเบียนศาลจ้าว
ข้อ ๙ ศาลจ้าวที่ได้ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุมีฐานะอันมั่นคงถาวรนอกจากที่ตั้งอยู่ในที่ดินของเอกชนมีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของ
ให้มีทะเบียนบาญชีไว้ ให้เปนหลักฐาน
ข้อ ๑๐ ทะเบียนบาญชีศาลจ้าว ให้มีรายการดังนี้
คือ
๑ เลขลำดับจำนวนศาลจ้าว
๒ ชื่อศาลจ้าว
๓ ตำบล อำเภอ และจังหวัด ศาลจ้าวตั้งอยู่
๔ ชื่อ และอายุ ผู้ปกครองศาลจ้าว
และผู้ตรวจตราสอดส่อง
๕ ชื่อแส้สกุล ชาติกำเนิด และบังคับสังกัดมูลนาย
ของผู้ปกครองศาลจ้าว และผู้ตรวจตราสอดส่อง
๖ อาชีวะ และที่สำนักอาศัย ของผู้ปกครองศาลจ้าว
และผู้ตรวจตราสอดส่อง
ว่าด้วยการตั้งและถอน
ผู้จัดการปกครองศาลจ้าว
และผู้ตรวจตราสอดส่อง
ข้อ ๑๑ การรักษาหรือกระทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ศาลจ้าวโดยเฉภาะนั้น
ให้มีผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวขึ้นไว้
แล้วแต่อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัดสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
จะกำหนดโดยสมควรแก่ศาลจ้าวแห่งใด หรือหลายศาลจ้าวรวมกัน
จะให้มีผู้จัดการปกครองแลผู้ตรวจตราสอดส่องมากน้อยเพียงใดก็ได้
ข้อ ๑๒ ผู้ที่สมควรจะเปนผู้จัดการปกครอง
และผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวได้นั้น ต้องประกอบพร้อมด้วยองค์คุณสมบัติ คือ
๑ ต้องเปนผู้มีความเคารพนับถือในลัทธินั้น
๒ ต้องเปนคนที่มีอายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป
๓
ต้องเปนคนมีหลักถานในอาชีวะหรือมีหลักทรัพย์ดี
๔
ต้องเปนคนที่ไม่เคยต้องคำพิพากษาของศาล ฐานเปนอั้งยี่หรือส้องโจรผู้ร้าย ลักทรัพย์
วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ สลัดกันโชก ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ หรือรับของโจร
และไม่เคยโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ศาลจ้าว
๕.
ต้องเปนคนที่อยู่ในใต้บังคับกฎหมายฝ่ายสยาม
ข้อ ๑๓ ผู้ใดมีความปราถนาจะเปนผู้จัดการปกครองหรือเปนผู้ตรวจสอดส่องศาลจ้าว
ถ้าในเขตร์กรุงเทพมหานครให้ยื่นเรื่องราวต่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
นอกจากเขตร์กรุงเทพมหานคร
ให้ยื่นเรื่องราวต่อสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
พิจารณาเหตุผลประกอบพร้อมด้วยองค์คุณสมบัติดังว่ามาในข้อ ๑๒ นั้นแล้ว
ก็ให้ออกใบอนุญาตตั้งได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๑๔ เมื่อผู้ใดได้รับอนุญาตตั้งตามความในข้อ
๑๓ แล้ว โดยปรกติย่อมมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ คือ
ก.
ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวมีอำนาจและน่าที่จัดการทั่วไปในกิจการเพื่อประโยชน์แก่ศาลจ้าวโดยฐานะและกาลอันสมควร
และมีอำนาจน่าที่เข้าเปนโจทก์หรือจำเลยในอรรถคดีทั้งแพ่งและอาญาอันเกี่ยวด้วยเรื่องศาลจ้าวทุกประการ
ข.
ผู้ตรวจตราสอดส่อง มีอำนาจและน่าที่ตรวจตรากิจการอันเกี่ยวด้วยศาลจ้าวทุกประการตลอดถึงสรรพทะเบียนบาญชีทั้งปวงอันเนื่องด้วยกิจการหรือผลประโยชน์
สำหรับศาลจ้าวครอบงำเหนือผู้จัดการปกครองศาลจ้าวนั้น
ข้อ ๑๕ กิจการสำหรับศาลจ้าว
ซึ่งเปนกิจที่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้จัดการปกครองกับผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าว
ปรองดองพร้อมใจตกลงกระทำไปได้ ถ้ามีความเห็นแตกต่างกัน
ให้อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเปนผู้ชี้ขาด แล้วกระทำไปตามคำชี้ขาดนั้น
ข้อ ๑๖ ถ้าและเมื่อได้มีอรรถคดีพิพาทกันด้วยเรื่องศาลจ้าว
จะเริ่มเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็ดี หรือว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วก็ดี
ให้ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวแจ้งเหตุการณ์ให้อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดทราบทุกครั้ง
ข้อ ๑๗ เมื่อใดความปรากฎขึ้นชัดเจน
หรือสงไสยว่ามีการสมคบกับเปนอั้งยี้ หรือส้องโจรผู้ร้าย
หรือสมคบกันเล่นการพนันที่กฎหมายห้าม ในศาลจ้าวหรือในสถานที่ต่างๆ
ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ศาลจ้าวใด
ให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจสอดส่องศาลจ้าวนั้นรายงานแจ้งเหตุการณ์ต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่โดยละเอียด
ข้อ ๑๘ ผู้ใดได้รับใบอนุญาตตั้งให้เปนผู้จัดการปกครองหรือเปนผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวแล้ว
ภายหลังความปรากฎว่าผู้นั้นบกพร่องด้วยองค์คุณสมบัติดังว่ามาในข้อ ๑๒ นั้นก็ดี
หรือได้ประพฤติการทุจริตต่อน่าที่อย่างใดๆ ก็ดี หรือขัดขืนไม่แจ้งเหตุการณ์ดังว่ามาในข้อ
๑๖, ๑๗ นั้นก็ดี อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
จะสั่งถอนและเรียกใบอนุญาตตั้งคืนจากผู้นั้นเสียก็ได้
บรรดาสมุดบาญชีอันเกี่ยวด้วยศาลจ้าวนั้นให้มอบแก่ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งอธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด จะสั่งให้มอบทั้งสิ้น
ข้อ ๑๙ ผู้ใดได้มีตำแหน่งเปนผู้จัดการปกครอง
หรือเปนผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวอยู่แล้วแต่ก่อนออกกฎนี้
ให้ยื่นเรื่องราวขอใบอนุญาตตั้งเสียตามกฎนี้ภายในเวลา ๓ เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกกฎนี้เปนต้นไป
และต้องปฏิบัติการตามกฎนี้ทุกประการ
ถ้ามิฉนั้นให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีตำแหน่งหน้าที่อย่างใดเลย
ว่าด้วยประโยชน์อันเกินแก่ศาลจ้าว
ข้อ ๒๐ ถ้าในที่ใดเมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด
สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
เห็นเป็นการสมควรที่จะสั่งให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวทำหรือยื่นบาญชีแสดงผลประโยชน์รายได้รายจ่าย
เปนรายเดือนหรือรายปีหรือเปนพิเศษในขณะใดก็มีอำนาจที่จะสั่งได้
และเมื่อเห็นสมควรที่จะสั่งให้โฆษนาการให้สาธารณชนทราบด้วยก็ได้
ข้อ ๒๑ ศาลจ้าวหรือสถานที่ต่างๆ
ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ศาลจ้าวก็ดี
และบรรดาสมุดบาญชีอันเกี่ยวด้วยผลประโยชน์สำหรับศาลจ้าวก็ดี
เมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด
เห็นเปนการสมควรก็มีอำนาจที่จะสั่งให้กรมการอำเภอเข้าไปตรวจตรา หรือเรียกเอามาตรวจตราในเวลาใดก็ได้
กำหนดโทษผู้กระทำผิด
ข้อ ๒๒ ผู้ใดบังอาจบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์สำหรับศาลจ้าว
หรือเข้าไปในที่นั้นๆ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
หรือเข้าไปซ่อนตัวอยู่โดยไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไป
หรือเมื่อผู้มีความชอบธรรมได้ว่ากล่าวขับไล่ให้ออกไปแล้วยังขืนอยู่อีก
ผู้นั้นมีความผิดให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท
หรือทั้งสองสถาน
ถ้าการกระทำผิดเช่นว่ามาข้างบนนี้
ได้กระดำในเวลาค่ำคืนก็ดี กระทำโดยใช้อุบาย ใช้กำลังทำร้าย
หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายเขาก็ดี กระทำโดยมีสาตราวุธก็ดี หรือคุมสมัคพรรคพวกตั้งแต่
๓ คน หรือกว่า ๓ คนขึ้นไปบุกรุกก็ดี ผู้กระทำผิดเช่นว่านี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า
๓ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาทด้วยอีกโสดหนึ่ง
ข้อ ๒๓ ผู้เจตนาขัดขวางมิให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวได้กระทำการตามน่าที่โดยปรกติ
มีความผิดให้ปรับไม่เกินกว่า ๒๐๐ บาท
ข้อ ๒๔ ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวขัดขืนไม่ยอมมอบบรรดาสมุดบาญชีตามความในข้อ
๑๘ ตอนที่ ๒ ก็ดีหรือได้มอบให้ไม่สิ้นเชิงก็ดี
หรือขัดขืนไม่ทำตามคำสั่งดังว่ามาในข้อ ๒๐ ก็ดี
มีความผิดถานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาชญามาตรา ๓๓๔ ข้อ ๒
และถ้าได้ทำบาญชียื่น
หรือประกาศโฆษนาการตามความในข้อ ๒๐ นั้น โดยลักษณอันเปนเท็จ
ถ้าการที่ทำลงไปนั้นยังไม่ถึงเปนความผิดตามประมวลกฎหมายอาชญา
ผู้นั้นมีความผิดให้ปรับไม่เกินกว่า ๒๐๐ บาท
ข้อ ๒๕ ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวซึ่งได้ถูกถอนและเรียกใบอนุญาตตั้งคืนเสียแล้ว
ดังว่าไว้ในข้อ ๑๘ ตอนที่ ๑ ยังคงขืนทำการอยู่ในตำแหน่งเดิมก็ดี
หรือละเว้นไม่รายงานแจ้งเหตุการณ์ต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ดังว่าไว้ในข้อ ๑๗
ก็ดี มีความผิดให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท
ผู้ใดมีน่าที่เปนผู้จัดการปกครองศาลจ้าวอยู่แล้วแต่ก่อนออกกฎนี้
ไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และคงทำการอยู่ต่อไปอีก
ผู้นั้นมีความผิดควรลงอาชญาดังกล่าวมาข้างบนนี้
กฎนี้ให้ใว้ ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓
มหาอำมาตย์นายก เจ้าพระยายมราช
เสนาบดีกระทรวงนครบาล
มหาเสวกเอก เจ้าพระยาสุรสีห์ วิสิษฐ์ศักดิ์
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
ต่อศักดิ์/พงษ์พิลัย/ตรวจ
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น