ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทะเบียนศาลเจ้า

 กฎเสนาบดี
ว่าด้วยที่กุศลสถานชนิดศาลจ้าว
                   

ด้วยตามความในพระราชบัญญัติลักษณปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ มาตรา ๑๒๓ ให้กรมการอำเภอมีน่าที่คอยตรวจตราอุดหนุนผู้ปกปักรักษา อย่าให้ผู้ใดรุกล้ำเบียดเบียนที่วัดหรือที่กุศลสถานอย่างอื่น อันเปนของกลางสำหรับมหาชนนั้น บัดนี้ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า ที่ศาลจ้าวซึ่งเปนสถานที่เคารพและกระทำพิธีกรรมตามลัทธิของประชาชนบางจำพวกในกรุงสยาม นับว่าเปนที่กุศลสถานสำหรับมหาชนประเภทหนึ่ง ซึ่งสมควรจะวางระเบียบการปกปักรักษาขึ้นไว้ให้เปนหลักถาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงนครบาลแลเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ตั้งกฎข้อบังคับขึ้นตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติลักษณปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๔๕๗ ดังต่อไปนี้

ว่าด้วยการใช้กฎและอธิบายคำ
                   

ข้อ ๑  กฎนี้ใช้เฉภาะแต่ศาลจ้าวที่ตั้งอยู่ในที่ดินซึ่งรัฐบาลเปนเจ้าของหรือเปนผู้ปกปักรักษาเท่านั้น

ข้อ ๒  คำบางคำที่มิได้ มีคำหมายให้เข้าใจเปนอย่างอื่นแล้วให้พึงเข้าใจดังนี้ คือ
ก. คำว่า ศาลเจ้า นั้น หมายความว่า สถานที่ก่อสร้างขึ้นเปนทรวดทรงสำหรับประดิษฐานรูปเคารพ และกระทำพิธีกรรมตามลัทธิของคนบางจำพวก เช่นชนจีนเปนต้น และให้หมายความรวมตลอดถึงสถานที่ถาวร ซึ่งสร้างขึ้นประกอบกับศาลจ้าว เช่นโรงสำหรับกินแจ เปนต้น
ข. คำว่า ที่ศาลจ้าว นั้น หมายความถึงที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่และหมายความตลอดเขตร์บริเวณที่ดินของศาลจ้าวด้วย
ค. คำว่า ใบอนุญาตตั้ง นั้น หมายความว่า หนังสือที่ผู้มีอำนาจตามกฎนี้ออกให้ไว้แก่ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวหรือผู้ตรวจตราสอดส่องกิจการในศาลจ้าว
ฆ. คำว่า ผลประโยชน์ นั้น หมายความว่าทรัพย์สมบัติรายได้อันพึงบังเกิดมีแก่ศาลจ้าวนั้นๆ แลหมายความตลอดถึงรายจ่ายด้วย

ว่าด้วยที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่
                   

ข้อ ๓  ศาลจ้าวที่ตั้งอยู่ในที่ดินเอกชนมีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของนั้นไม่เกี่ยวกับกฎฉบับนี้ เว้นไว้แต่เอกชนผู้มีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของได้อุทิศที่ดินของตนให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาดในขณะใด ที่ดินนั้นย่อมตกมาอยู่ในความปกครองรักษาของรัฐบาลพึงทำนุบำรุงเพื่อประโยชน์มหาชนตามความในกฎนี้

ข้อ ๔  ที่ดินที่ศาลจ้าวตั้งอยู่ในที่ดินของรัฐบาลก็ดี หรือในที่ดินของเอกชนแต่ได้อุทิศให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาดแล้วก็ดี ในเขตร์กรุงเทพมหานครให้มีโฉนดไว้ในนามกรมพระนครบาลหัวเมืองนอกจากเขตร์กรุงเทพมหานครให้มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินไว้ในนามกรมปกครองกระทรวงมหาดไทยทั้งสิ้น

ข้อ ๕  ผู้ใดมีความปรารถนาจะอุทิศที่ดินของตนที่มีหรือยังไม่มีศาลจ้าวตั้งอยู่แล้วให้เปนสมบัติสำหรับศาลจ้าวโดยสิทธิ์ขาด ให้ยื่นเรื่องราวสำแดงความปราถนาเปนลายลักษณ์อักษรมอบหมายให้แก่นายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ๆ ที่ดินตั้งอยู่
ในเรื่องราวที่จะยื่นต้องมีข้อความดังต่อไปนี้ คือ
(ก) ชื่อและที่อยู่ของผู้ซึ่งจะอุทิศที่ดินให้
(รายการละเอียดของที่ดินซึ่งจะอุทิศให้พร้อมทั้งน่าโฉนดหรือหลักถานสิ่งสำคัญสำหรับที่ดินนั้นกำกับไปด้วย

ข้อ ๖  ที่ศาลจ้าวแห่งใดซึ่งตกอยู่ในความปกครองของรัฐบาลตามกฎนี้ ถ้าผู้ใดจะกระทำการก่อสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงหรือมีความประสงค์จะทำการสฐาปนาต่อเติมขึ้นใหม่ก็ดี ให้แจ้งความประสงค์เปนลายลักษณ์อักษรต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ๆ ที่ดิน ตั้งอยู่เมื่อได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัดสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วจึงกระทำการนั้นได้

ข้อ ๗  ในที่ซึ่งยังมีศาลจ้าวตั้งอยู่ตราบใด โดยปรกติจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฐานะเปนอย่างอื่น เว้นไว้แต่ศาลจ้าวนั้นจะได้เลิกร้างไปหมดแล้ว หรือว่ารัฐบาลมีความจำเปนที่จะต้องใช้ประโยชน์ในราชการโดยตรง

ข้อ ๘  ที่ดินที่ยังมีศาลจ้าวตั้งอยู่ณบัดนี้ก็ดี หรือปรากฎว่าได้เคยมีศาลจ้าวตั้งอยู่ก็ดี ถ้าแม้พิสูตรไม่ได้ความแน่นอนว่ากรรมสิทธิ์ได้ตกเปนของเอกชน ก็ให้ลงสันนิษฐานว่าเปนที่ดินสำหรับศาลจ้าวอยู่ในความปกครองของรัฐบาล

ว่าด้วยฐานะของศาลจ้าวและทะเบียนศาลจ้าว
                       

ข้อ ๙  ศาลจ้าวที่ได้ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุมีฐานะอันมั่นคงถาวรนอกจากที่ตั้งอยู่ในที่ดินของเอกชนมีกรรมสิทธิ์เปนเจ้าของ ให้มีทะเบียนบาญชีไว้ ให้เปนหลักฐาน

ข้อ ๑๐  ทะเบียนบาญชีศาลจ้าว ให้มีรายการดังนี้ คือ
 เลขลำดับจำนวนศาลจ้าว
 ชื่อศาลจ้าว
 ตำบล อำเภอ และจังหวัด ศาลจ้าวตั้งอยู่
 ชื่อ และอายุ ผู้ปกครองศาลจ้าว และผู้ตรวจตราสอดส่อง
 ชื่อแส้สกุล ชาติกำเนิด และบังคับสังกัดมูลนาย ของผู้ปกครองศาลจ้าว และผู้ตรวจตราสอดส่อง
 อาชีวะ และที่สำนักอาศัย ของผู้ปกครองศาลจ้าว และผู้ตรวจตราสอดส่อง

ว่าด้วยการตั้งและถอน
ผู้จัดการปกครองศาลจ้าว และผู้ตรวจตราสอดส่อง
                       

ข้อ ๑๑  การรักษาหรือกระทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ศาลจ้าวโดยเฉภาะนั้น ให้มีผู้จัดการปกครองและผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวขึ้นไว้ แล้วแต่อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัดสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด จะกำหนดโดยสมควรแก่ศาลจ้าวแห่งใด หรือหลายศาลจ้าวรวมกัน จะให้มีผู้จัดการปกครองแลผู้ตรวจตราสอดส่องมากน้อยเพียงใดก็ได้

ข้อ ๑๒  ผู้ที่สมควรจะเปนผู้จัดการปกครอง และผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวได้นั้น ต้องประกอบพร้อมด้วยองค์คุณสมบัติ คือ
 ต้องเปนผู้มีความเคารพนับถือในลัทธินั้น
 ต้องเปนคนที่มีอายุตั้งแต่ ๒๐ ปีขึ้นไป
๓ ต้องเปนคนมีหลักถานในอาชีวะหรือมีหลักทรัพย์ดี
๔ ต้องเปนคนที่ไม่เคยต้องคำพิพากษาของศาล ฐานเปนอั้งยี่หรือส้องโจรผู้ร้าย ลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ สลัดกันโชก ฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ หรือรับของโจร และไม่เคยโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ศาลจ้าว
๕. ต้องเปนคนที่อยู่ในใต้บังคับกฎหมายฝ่ายสยาม

ข้อ ๑๓  ผู้ใดมีความปราถนาจะเปนผู้จัดการปกครองหรือเปนผู้ตรวจสอดส่องศาลจ้าว ถ้าในเขตร์กรุงเทพมหานครให้ยื่นเรื่องราวต่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด นอกจากเขตร์กรุงเทพมหานคร ให้ยื่นเรื่องราวต่อสมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด เมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาเหตุผลประกอบพร้อมด้วยองค์คุณสมบัติดังว่ามาในข้อ ๑๒ นั้นแล้ว ก็ให้ออกใบอนุญาตตั้งได้ตามที่เห็นสมควร

ข้อ ๑๔  เมื่อผู้ใดได้รับอนุญาตตั้งตามความในข้อ ๑๓ แล้ว โดยปรกติย่อมมีอำนาจและหน้าที่ดังนี้ คือ
ก. ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวมีอำนาจและน่าที่จัดการทั่วไปในกิจการเพื่อประโยชน์แก่ศาลจ้าวโดยฐานะและกาลอันสมควร และมีอำนาจน่าที่เข้าเปนโจทก์หรือจำเลยในอรรถคดีทั้งแพ่งและอาญาอันเกี่ยวด้วยเรื่องศาลจ้าวทุกประการ
ข. ผู้ตรวจตราสอดส่อง มีอำนาจและน่าที่ตรวจตรากิจการอันเกี่ยวด้วยศาลจ้าวทุกประการตลอดถึงสรรพทะเบียนบาญชีทั้งปวงอันเนื่องด้วยกิจการหรือผลประโยชน์ สำหรับศาลจ้าวครอบงำเหนือผู้จัดการปกครองศาลจ้าวนั้น

ข้อ ๑๕  กิจการสำหรับศาลจ้าว ซึ่งเปนกิจที่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้จัดการปกครองกับผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าว ปรองดองพร้อมใจตกลงกระทำไปได้ ถ้ามีความเห็นแตกต่างกัน ให้อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดเปนผู้ชี้ขาด แล้วกระทำไปตามคำชี้ขาดนั้น

ข้อ ๑๖  ถ้าและเมื่อได้มีอรรถคดีพิพาทกันด้วยเรื่องศาลจ้าว จะเริ่มเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วก็ดี หรือว่าเมื่อถึงที่สุดแล้วก็ดี ให้ผู้จัดการปกครองศาลจ้าวแจ้งเหตุการณ์ให้อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัดทราบทุกครั้ง

ข้อ ๑๗  เมื่อใดความปรากฎขึ้นชัดเจน หรือสงไสยว่ามีการสมคบกับเปนอั้งยี้ หรือส้องโจรผู้ร้าย หรือสมคบกันเล่นการพนันที่กฎหมายห้าม ในศาลจ้าวหรือในสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ศาลจ้าวใด ให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจสอดส่องศาลจ้าวนั้นรายงานแจ้งเหตุการณ์ต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่โดยละเอียด

ข้อ ๑๘  ผู้ใดได้รับใบอนุญาตตั้งให้เปนผู้จัดการปกครองหรือเปนผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวแล้ว ภายหลังความปรากฎว่าผู้นั้นบกพร่องด้วยองค์คุณสมบัติดังว่ามาในข้อ ๑๒ นั้นก็ดี หรือได้ประพฤติการทุจริตต่อน่าที่อย่างใดๆ ก็ดี หรือขัดขืนไม่แจ้งเหตุการณ์ดังว่ามาในข้อ ๑๖, ๑๗ นั้นก็ดี อธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด จะสั่งถอนและเรียกใบอนุญาตตั้งคืนจากผู้นั้นเสียก็ได้
บรรดาสมุดบาญชีอันเกี่ยวด้วยศาลจ้าวนั้นให้มอบแก่ผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งอธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด จะสั่งให้มอบทั้งสิ้น

ข้อ ๑๙  ผู้ใดได้มีตำแหน่งเปนผู้จัดการปกครอง หรือเปนผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวอยู่แล้วแต่ก่อนออกกฎนี้ ให้ยื่นเรื่องราวขอใบอนุญาตตั้งเสียตามกฎนี้ภายในเวลา ๓ เดือน นับตั้งแต่วันที่ออกกฎนี้เปนต้นไป และต้องปฏิบัติการตามกฎนี้ทุกประการ ถ้ามิฉนั้นให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีตำแหน่งหน้าที่อย่างใดเลย

ว่าด้วยประโยชน์อันเกินแก่ศาลจ้าว
                       

ข้อ ๒๐  ถ้าในที่ใดเมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นเป็นการสมควรที่จะสั่งให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวทำหรือยื่นบาญชีแสดงผลประโยชน์รายได้รายจ่าย เปนรายเดือนหรือรายปีหรือเปนพิเศษในขณะใดก็มีอำนาจที่จะสั่งได้ และเมื่อเห็นสมควรที่จะสั่งให้โฆษนาการให้สาธารณชนทราบด้วยก็ได้

ข้อ ๒๑  ศาลจ้าวหรือสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่ศาลจ้าวก็ดี และบรรดาสมุดบาญชีอันเกี่ยวด้วยผลประโยชน์สำหรับศาลจ้าวก็ดี เมื่ออธิบดีกรมพระนครบาลหรือนครบาลจังหวัด สมุหเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด เห็นเปนการสมควรก็มีอำนาจที่จะสั่งให้กรมการอำเภอเข้าไปตรวจตรา หรือเรียกเอามาตรวจตราในเวลาใดก็ได้

กำหนดโทษผู้กระทำผิด
                  

ข้อ ๒๒  ผู้ใดบังอาจบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์สำหรับศาลจ้าว หรือเข้าไปในที่นั้นๆ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือเข้าไปซ่อนตัวอยู่โดยไม่มีเหตุสมควรที่จะเข้าไป หรือเมื่อผู้มีความชอบธรรมได้ว่ากล่าวขับไล่ให้ออกไปแล้วยังขืนอยู่อีก ผู้นั้นมีความผิดให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท หรือทั้งสองสถาน
ถ้าการกระทำผิดเช่นว่ามาข้างบนนี้ ได้กระดำในเวลาค่ำคืนก็ดี กระทำโดยใช้อุบาย ใช้กำลังทำร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะทำร้ายเขาก็ดี กระทำโดยมีสาตราวุธก็ดี หรือคุมสมัคพรรคพวกตั้งแต่ ๓ คน หรือกว่า ๓ คนขึ้นไปบุกรุกก็ดี ผู้กระทำผิดเช่นว่านี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินกว่า ๓ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาทด้วยอีกโสดหนึ่ง

ข้อ ๒๓  ผู้เจตนาขัดขวางมิให้ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวได้กระทำการตามน่าที่โดยปรกติ มีความผิดให้ปรับไม่เกินกว่า ๒๐๐ บาท

ข้อ ๒๔  ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวขัดขืนไม่ยอมมอบบรรดาสมุดบาญชีตามความในข้อ ๑๘ ตอนที่ ๒ ก็ดีหรือได้มอบให้ไม่สิ้นเชิงก็ดี หรือขัดขืนไม่ทำตามคำสั่งดังว่ามาในข้อ ๒๐ ก็ดี มีความผิดถานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาชญามาตรา ๓๓๔ ข้อ ๒
และถ้าได้ทำบาญชียื่น หรือประกาศโฆษนาการตามความในข้อ ๒๐ นั้น โดยลักษณอันเปนเท็จ ถ้าการที่ทำลงไปนั้นยังไม่ถึงเปนความผิดตามประมวลกฎหมายอาชญา ผู้นั้นมีความผิดให้ปรับไม่เกินกว่า ๒๐๐ บาท

ข้อ ๒๕  ผู้จัดการปกครองหรือผู้ตรวจตราสอดส่องศาลจ้าวซึ่งได้ถูกถอนและเรียกใบอนุญาตตั้งคืนเสียแล้ว ดังว่าไว้ในข้อ ๑๘ ตอนที่ ๑ ยังคงขืนทำการอยู่ในตำแหน่งเดิมก็ดี หรือละเว้นไม่รายงานแจ้งเหตุการณ์ต่อนายอำเภอผู้ปกครองท้องที่ดังว่าไว้ในข้อ ๑๗ ก็ดี มีความผิดให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท
ผู้ใดมีน่าที่เปนผู้จัดการปกครองศาลจ้าวอยู่แล้วแต่ก่อนออกกฎนี้ ไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๙ และคงทำการอยู่ต่อไปอีก ผู้นั้นมีความผิดควรลงอาชญาดังกล่าวมาข้างบนนี้

กฎนี้ให้ใว้ ณ วันที่ ๑๕ มีนาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

มหาอำมาตย์นายก  เจ้าพระยายมราช
เสนาบดีกระทรวงนครบาล
มหาเสวกเอก เจ้าพระยาสุรสีห์ วิสิษฐ์ศักดิ์
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
  


ต่อศักดิ์/พงษ์พิลัย/ตรวจ
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ระเบียบกระทรวงมหาดไทย : กรรมการหมู่บ้านฯ 2551

ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏิบัติหน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๑                         อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และมาตรา ๒๘ ตรี แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การเป็นกรรมการหมู่บ้าน การปฏิบัติหน้าที่และการประชุมของคณะกรรมการหมู่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๑ ” ข้อ ๒ [ ๑]   ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัด...

ระเบียบกระทรวง มท : การช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ชรบ. 2551

ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการช่วยเหลือเจ้าพนักงานของหน่วยกำลังคุ้มครอง และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในหมู่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๑                    ด้วยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดอื่น ๆ ที่มีสถานการณ์ด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย จังหวัดและอำเภอได้มีการจัดตั้งชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ทั้งในหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง และหมู่บ้านปกติ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับมาตรา ๙๔ มาตรา ๙๕ และมาตรา ๑๐๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบบริหารหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจึงออกระเบียบไว้ ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑  ระเบียบนี้เรียกว่า  “ ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการช่วยเหลือเจ้าพนักงานของหน่วยก...

สรุป : พรบ.ปกครองท้องที่ 2457 (KPI)

เรียบเรียงโดย  : อาจารย์บุญเกียรติ การะเวกพันธุ์ และคณะ ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ  : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล การปกครองท้องที่ เริ่มต้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ด้วยทรงมีพระราชดำริให้มีการจัดระเบียบการปกครองระดับ “หมู่บ้าน” ที่มีมาแต่เดิมขึ้นใหม่ เพราะทรงเล็งเห็นว่าการปกครองในระดับนี้จำเป็นและสำคัญยิ่งใน การบริหารราชการแผ่นดิน  เนื่องจากเป็น หน่วยการปกครองที่ใกล้ชิดกับราษฎรมากที่สุด โดยได้ทรงให้มีการทดลองจัดระเบียบการปกครองตำบล หมู่บ้าน ขึ้นที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อ ร.ศ. 111 (พ.ศ. 2435) โดยให้ราษฎรเลือก ผู้ใหญ่บ้านแทนการแต่งตั้งโดย เจ้าเมือง  ต่อมาจึงได้มีการจัดระเบียบการปกครองตำบล หมู่บ้าน ตามหัวเมืองต่างๆ โดยตราเป็น พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116  (พ.ศ.2440) ซึ่งถือเป็น กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ ฉบับแรกของประเทศไทย จนถึงสมัย รัชกาลที่ 6  ได้มีการตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ขึ้นใช้บังคับแทน [1] เนื้อหา  [ ซ่อน ]  1 ความสำคัญของลักษณะการปกครองท้องที่ 2 หมู่บ้...